
คนขายไม้ขีด ยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า สาวขายไม้ขีด อันที่จริงมันก็ไม่ใช่นิทานที่มีเรื่องราวที่สวยงาม และมีตอนจบที่มีความสุข แต่เป็นเรื่องราวน่าเศร้าซึ่งสะท้อนสังคม เรื่องเริ่มต้นในคืนวันคริสต์มาส ทั้งที่คืนนี้ควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทุกคน แต่กลับมีเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง แต่งตัวมอมแมม ใส่เสื้อผ้าที่ถูกเย็บปะมานับครั้งไม่ถ้วนไม่สามารถให้ความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเย็นของหิมะได้
เธอพยายามขายไม้ขีดไฟให้แก่ทุกคนซึ่งกำลังเดินผ่านไปผ่านมาเพื่อเที่ยวชมบรรยากาศอันสวยงามของวันคริสต์มาส ทั้งต้นไม้และแสงสีที่ประดับประดาอยู่รอบตัว แต่กลับไม่มีใครสนใจไม้ขีดของเธอเลย แม้จะเป็นคุณป้าที่ดูอ่อนโยน เธอพยายามร้องขอให้นางซื้อไม้ขีด แต่นางกลับตอบอย่างดีว่า “ที่บ้านป้ามีเยอะแล้ว ลองไปขายคนอื่นดูนะ”
เด็กน้อยเศร้าสร้อย แต่ยังคงพยายามเดินขายต่อไป แม้จะเหน็บหนาว จนเดินแทบไม่ได้แล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครซื้อ บางคนเลือกที่จะไม่สนใจและเดินหนีไป เวลาล่วงผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน คนเดินตามท้องถนนก็เริ่มน้อยลงจนนับคนได้ สุดท้ายถนนที่เคยมีชีวิต เต็มไปด้วยผู้คนกลับเหลือแค่เด็กสาวกับตะกร้าใส่ไม้ขีดน้อยๆของเธอ แน่นอนว่าเธอก็มีบ้านแบบคนอื่นเขา บ้านที่เคยมีความสุข เคยมีวันคริสต์มาสที่มีแม่ และยายของเธอจัดให้ทุกๆปี แต่มันก็เป็นแค่อดีตแสนสวยงาม ตอนนี้บ้านเหลือแค่พ่อของเธอที่กลายเป็นคนติดเหล้า ชอบใช้ความรุนแรงกับเธอ ซึ่งหากเธอกลับบ้านไปโดยไม่มีเงินสักบาทคงถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้ง และแน่นอนว่าเธอไม่อยากโดนเช่นนั้นอีกแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงพยายามเดินหาคนต่อไป โดยไม่ได้สังเกตว่าเธอกำลังข้ามถนน และมีรถม้าวิ่งมาด้วยความเร็วสูง เธอโดนเฉี่ยวชนจนล้มไป โชคดีที่เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ทั้งรองเท้า และตะกร้าของเธอกลับกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ในจังหวะนั้นมีเด็กที่ไหนไม่รู้เห็นรองเท้าของเธอตกอยู่ ด้วยความอยากได้จริงหยิบและวิ่งหายไป เด็กสาวได้สติลุกขึ้นมาก็พยายามหาไม้ขีดและรองเท้า แต่ก็ไม่พบรองเท้าอยู่รอบๆ
เด็กสาวเริ่มรู้สึกเศร้าอย่างมากแม้แต่รองเท้าเธอก็ไม่มีใส่ เธอเริ่มหนาวขึ้นมากกว่าเดิมเพราะรองเท้าที่เคยให้ความอุ่นเธอมันไม่มีอีกแล้ว แต่เธอก็เก็บความรู้สึกนั้นไว้ และพยายามรวบรวมไม้ขีดที่เหลือและเดินขายไม้ขีดต่อไป
ยิ่งใกล้เที่ยงคืนเท่าไรผู้คนต่างกลับบ้านเพื่อไปฉลองเทศกาลแห่งความสุขของกันและกัน สาวน้อยเดินไปเรื่อยๆ ได้เห็นแสงไฟตามบ้านแต่ละหลังเห็นแต่ละครอบครัวฉลองค่ำคืนนี้อย่างมีความสุขได้กินของอร่อยๆ ในบ้านที่อบอุ่น แตกต่างกับเธออย่างสิ้นเชิงที่ทั้งหนาวทั้งหิว อากาศเย็นลงเรื่อยๆ ตอนนี้เธอไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่าความอบอุ่นจากเตาผิง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี เธอเห็นไม้ขีด จึงเกิดความคิดว่า แค่จุดไฟของไม้ขีดมันคงจะอุ่นขึ้นบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงจุดไม้ขีดขึ้นมาอันหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไฟจากไม้ขีดเล็กๆจะมอบความสุขได้ไม่น้อย เธอค่อยโอบไฟดวงนั้นไว้ไม่ให้ดับเพราะแรงลม จากความอุ่นเล็กๆนั้นทำให้เธอหวนไปวันวานที่เธอยังมีความสุขในบ้านที่ยังคงมีทั้งแม่และยาย ไม่นานภาพนั้นได้หายไปพร้อมกับไฟไม้ขีดที่มอดลง ไม่รอช้าสาวน้อยรีบจุดขึ้นมาอีกก้านหนึ่ง เธอเห็นภาพอาหารที่แสนอร่อยจากฝีมือของแม่ คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆจากคุณยาย และภาพนั้นก็หายไปอีกครั้งพร้อมกับความอุ่น ไฟถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง รอบนี้เธอเห็นคุณยาย เธอน้ำตาไหลออกมาพร้อมบอกว่าคิดถึงคุณยายมากๆ คุณยายได้พูดกับเธอว่า “มาอยู่ด้วยกันเถอะ ที่นี่มีแต่ความสุข คุณแม่ของหนูก็อยู่ด้วย” เด็กสาวจึงตอบไปโดยทันว่า “ค่ะ คุณยาย”
เช้าของวันแห่งความสุขได้มาถึง ผู้คนได้พบร่างเย็นเยือกของสาวน้อย ซึ่งเธอได้เสียชีวิตตั้งแต่เมื่อคืนเพราะความหนาวเย็น หลายคนที่มามุงดูต่างก็จำได้เธอเป็นสาวขายไม้ขีดที่พวกเขาต่างไม่สนใจ
เมื่อได้เห็นร่างของเธอที่นอนแน่นิ่ง ทุกคนต่างรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยเธอซื้อไม้ขีดเลยสักนิด ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ตายอย่างน่าสงสารแบบนี้ สุดท้ายทุกคนต่างทำได้เพียงช่วยกันอวยพรให้ดวงวิญญาณของเธอไปสู่ดินแดนของพระเจ้า เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวที่น่าเศร้าของเด็กน้อยที่ต้องตายอย่างน่าเวทนา หลายคนอาจมองว่าคืนวันคริสต์มาส เป็นวันที่มีความสุขของทุกคน แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกหลายผู้คนที่ต้องอดอยาก แม้จะเป็นวันแห่งการให้อย่างไร แต่เราก็คงไม่สามารถให้ความสุขแก่ทุกๆคนได้ แบบที่ผู้คนในเรื่องไม่อยากซื้อไม้ขีดจากสาวน้อย ซึ่งหากเป็นผู้เขียนเองก็คงไม่ซื้อเช่นกัน เหตุผลก็คงแบบเดียวกับคุณป้าผู้ใจดีคือมีที่บ้านอยู่แล้ว
อีกทั้งปัญหาของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ในตอนที่เราเกิดมาอาจจะมีทั้งพ่อและแม่ครบ เมื่อมีใครสักคนจากไป มักทำให้คนที่เหลือ ต้องอยู่กับความเศร้าบางคนถึงกับเสียสติ เสียกำลังใจใช้ชีวิตอย่างพ่อของสาวน้อยที่กลายเป็นคนติดเหล้า ผู้เขียนเข้าใจความสูญเสียแบบนั้นมันรู้สึกว่า ทุกๆวันที่ตื่นขึ้นมาจะจดจำได้เสมอว่าคนที่เรารักจากไปแล้ว มันเป็นความทุกข์ที่อยู่ให้หัว จนรู้สึกถึงความเครียดที่มากมาย เมื่อได้ดื่มเหล้าช่วงแรกอาจทำให้เรามีความสุขสามารถลืมความทุกข์นั้นได้ สุดท้ายเมื่อฤทธิ์เหล้าหมดความเศร้าก็กลับมาอีก เราก็จะกลับไปดื่มซ้ำอีกครั้ง
รู้ว่าดื่มไปแค่ไหนก็ไม่มีทางหายเจ็บปวด แต่ถ้าไม่กินความทุกข์นั้นก็จะกลับมาอีกครั้ง จนสุดท้ายเราจะไม่สนใจอะไรนอกจากเหล้าแม้จะเป็นลูกของตัวเองก็ตาม ถ้าถามว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิด ผู้เขียนก็ไม่อยากจะให้โทษพ่อติดเหล้าด้านเดียว บางทีเขาอาจจะเป็นแค่เหยื่อเฉยๆก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐควรให้ความสำคัญแก่สถาบันครอบครัว ที่เป็นสังคมขนาดเล็กแต่สำคัญที่สุดของประเทศ ภาครัฐสามารถรู้ได้ว่าครอบครัวไหนมีปัญหาสูญเสียพ่อหรือแม่ของเด็ก ควรต้องเข้าไปให้การช่วยเหลือจิตใจของเขา ถ้าไม่ได้ต้องแยกเด็กออกมาในที่ๆเหมาะสม ดีกว่าให้อยู่กับคนที่ไม่พร้อมที่จะดูแลเด็กได้
อย่างไรก็ดีสิ่งที่เราได้จากเรื่องราวนี้ของสาวน้อยไม้ขีด คือ ความสุขของคนเรามันใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะแม้จะเป็นแสงไฟจากไม้ขีดเล็กๆในบางสถานการณ์ก็สามารถสร้างความสุขให้เราได้แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนเองก็สามารถหาความสุขเล็กๆของตัวเองได้ แค่บางคนอาจจะมองข้ามมันไป สำหรับความสุขเล็กๆของผู้เขียนก็มีเหมือนกันครับ คือ การได้นั่งบนโซฟานุ่มๆเท่านั้นเอง